หน้าแรก | ติดต่อเรา | บทความพิเศษ      
         ตั้งเป็นหน้าแรก    แจ้งการชำระเงิน      สินค้าในตระกร้า    
   หมวดหมู่สินค้า
   สมาชิก
อีเมล์ : 
รหัสผ่าน : 
 
 สมัครสมาชิก
 ลืมรหัสผ่าน
   เว็บลิงค์


ขนส่ง ภาคเหนือ
ขนส่ง ภาคใต้
ขนส่ง ภาคอีสาน
ขนส่ง ภาคตะวันออก
ขนส่ง ภาคกลาง
ขนส่งไทย
สังคมเพื่อการเรียนรู้ สำหรับคนทำงานอิงค์เจ็ท แหล่งรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร และความเคลื่อนไหวในธุรกิจอิงค์เจ็ท
รายชื่อบริษัทขนส่ง
**** สวัสดีค่ะ N1 เอ็นวัน  086-8559944 นู๋ ค่ะ ..... สามารถทำรายการสั่งซื้อสินค้าได้ทาง Line  ไลน์  ID : rng.inขอบคุณค่ะ****
หัวพิมพ์ Xaar , Seiko , Konica ต่างกันอย่างไร


หัวพิมพ์ Xaar, Seiko, Konica ต่างกันอย่างไร
              มีคำถามมากมายเกี่ยวกับหัวพิมพ์ว่าแตกต่างกันอย่างไรระหว่างXaar , Seiko , Konica ซึ่งมีขายอยู่มากมายในประเทศเรา หลายคนไม่เคยรู้จัก ก็จะงง และไม่เข้าใจ  เอแล้วฉันจะเลือกซื้อหัวอะไรดี ซื้อเครื่องเหมือนซื้อรถ ลงทุนทั้งที อยากได้ ที่นิ่งๆ ดีๆ กลัวมาก ข้อมูลก็ไม่มีใครบอก บางทีตัดสินใจซื้อสินค้า อยากได้งานสวยๆ แต่ก็โดนเซลล์หลอกขายเครื่อง หัวพิมพ์ความละเอียดต่ำให้ สุดท้ายก็นั่งกลุ้มใจ มีลูกค้าหลายคนมาปรึกษาผม ผมก็ได้ให้ข้อมูลไป แต่พอถามเยอะๆคำถามเดียวกัน ผมจึงนึกขึ้นว่า ผมน่าจะทำเป็นบทความ เผื่อคนที่ไม่กล้าถาม หรือคนที่ อยากถามแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ผมจึงได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นถึงหัวพิมพ์แต่ละหัว และข้อแตกต่างเอาไว้ ดังนี้ (ในบทความนี้ จะอ้างอิงเฉพาะเครื่องจีนนะครับ เพราะเครื่องจีนแต่ ใส่หัวพิมพ์ที่แตกต่างกัน แต่ Body อาจแตกต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น)  

            ยุคแรกกับ Xaar ขยับจากป้ายเขียนมือ ครับสักประมาณ 10กว่าปีที่แล้วได้  เริ่มต้นที่ หัว Xaar  จะมี Xaar 500 , 128/200 , 128/360 , 126 เป็นหัวพิมพ์ที่ขายเป็นจำนวนมาก และหลายๆคนคงรู้จักกันดีครับ   แหล่งที่มาจากประเทศอังกฤษครับ เมื่อก่อนหัวพิมพ์อย่าง Xaar ได้รับความนิยมอย่างมากแต่ปัจจุบันมีหัวพิมพ์รุ่นใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา ทำให้หัวพิมพ์ ตระกูลนี้ตกรุ่นไปโดยปริยาย  เมื่อก่อน งานพิมพ์ Outdoor เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้ดูระยะไกล ความคมชัดรุ่นแรกๆ ต้องมองกันหลายสิบเมตร แล้วถึงจะชัดครับ   ซึ่งหัวพิมพ์พวกนี้ จะเป็นหัว Xaar 500 ดูรูป1

                                      

Xaar 500 รูป1                                 Xaar 128 รูป2                                ลักษณะการวางหัวพิมพ์ 16 หัวพิมพ์ รูป3    

รหัสสีของXaar ดูตรงแถบหลังหัวพิมพ์ตามภาพ

Blue -200 Dpi , Purple -200 Dpi Plus  , Light Gray - 360 Dpi , Dark Gray - Witcolor 360Dpi

 รุ่นนี้ความคมชัดน้อยมาก  ร้านป้ายเจ้าใหญ่ๆหลายเจ้า ที่เวลา ให้ลูกค้า Approve งาน อาจลำบากถึงขนาด พิมพ์แล้วกางให้ลูกค้าดูเป็นสิบๆเมตร หรือมีอีกพวกพลิกแพลง ใช้หัวพิมพ์ Mimaki หรือ Loland ความคมชัดระดับ 1440Dpi  ในขณะนั้นพิมพ์ เพื่อให้ลูกค้า Approve  งานง่าย เวลาขึ้นป้ายใหญ๋พิมพ์กันจริงๆ  ดูกันที่ระยะไกลๆ โน่น ลองนึกภาพ งานขนาด 100 เมตร อาจเป็นรูปคน ตรงตรงกลางบางที ช่วงสัก 5เมตร ยังแค่เม็ดกระดุมเอง ซึ่งมองไกลๆ 20-30 เมตร ยกมามองเที่ยบกับงานแค่ A4 A3 พิมพ์บน เครื่อง 1440 Dpi ยังไง งานก็ชัดใกล้เคียงกัน ครับ จนXaar พัฒนาหัวพิมพ์ขึ้นมา ก็เริ่มเปลี่ยนยุค เข้าสู่รุ่นยอดนิยม คือ หัว Xaar 128/200 และ128/360  ดูรูป 2  เป็นหัวพิมพ์สองรุ่นที่ มีขายเยอะที่สุด และมีการขายออกเป็นมือสอง มากที่สุด ผู้ที่มองหามือสองช่วงนี้อาจได้ของราคาถูก สภาพดีๆได้ครับ งานพิมพ์ ถ้าไม่เน้นดูใกล้จนเกินไปครับ แต่ถ้าจะซื้อมือ 1 ไม่ควรแล้วครับเพราะว่า ราคาเครื่องพิมพ์ อย่างโคนิก้า หรือ ไซโกะ ราคาถูกลงมาใกล้กับราคาซาร์ 16 หัวพิมพ์ใหม่ๆแล้วครับ ข้อดี  เครื่องหัวพิมพ์ Xaar คือหัวพิมพ์ ใช้ง่าย พิมพ์กลบ Pass กัน ไปมา คือมันมีการวางหลาย แถวสลับไปมา ดูรูป3 (คล้ายๆกับการทาสีครับ พิมพ์4pass เหมือน ทาสีทับกัน4เที่ยว โดยการเพิ่มหัวเป็นการเพิ่ม pass ให้ใหญ่ขึ้น สังเกตถ้าวางแค่ 4 หัว เอาในแนวนอน มา 1แนว แล้วหาร4 จะได้แถบเล็กนิดเดียว แต่ถ้าเพิ่ม แนวนอนเป็น 4 แถว แต่ละแถวแทน 1 pass จะได้ งาน 4 พาส ที่แถบพาสใหญ่มากเป็นต้น)  

หมายเหตุ : การเพิ่มหัวพิมพ์ ในแต่ละแถว ก็จะเป็นเหมือน เพิ่มความเร็วการพิมพ์ ให้เร็วขึ้น ครับ ซึ่งเรื่องความคมชัดไม่ได้แตกต่างจากเดิม คือชัดแค่ไหน ก็ได้แค่นั้นแหละครับ บางคนนึกว่าเพิ่มหัวแล้วชัดขึ้น ตอบตรงนี้เลยว่าไม่ใช่ครับ ชัดเท่าเดิมอาจน้อยลงด้วยซ้ำ ถ้าช่างตั้งหัวไม่ดี คือ วางแนวไม่ดี จะมีหัวเหลือบเห็นเป็นภาพซ้อน ครับ

แต่เฉพาะรุ่น Xaar 500 จะราคาแพง มากและความคมชัดต่ำมาก จึงทำให้ความนิยมลดลงจนปัจจุบันอาจหารุ่นนี้ในตลาดแทบไม่ได้แล้วและ ล่าสุด Xaar 382 ที่เข้ามาขายในไทย แต่ก็เงียบหายไป ได้ข่าวว่า คนนำเข้าทิ้งลูกค้าลอยแพ ก็เยอะ อันนี้ แทบหาหัวพิมพ์ไม่ได้แล้ว นี่เป็นข้อมูล ณ เวลาที่ผู้เขียนๆนะครับ

 

ข้อดี

1.การกลบพาสกัน  ถึงหัวจะไม่ดีสักหัวสองหัว ก็จะทำหัวที่ดีให้กลบงานหัว ที่ไม่ดีได้ เพราะมีการกลบพาสกัน

2.คุณภาพงาน ที่เป็น Outdoor 360Dpi ยังคงความสวยงาม(กรณีหัวพิมพ์ สมบูรณนะครับ)

3.ต้นทุนหัวพิมพ์ ไม่สูงมาก

4.ดูแลรักษาง่าย

5.หมึกราคาต่อลิตรไม่สูงมาก

ข้อเสีย

1.ความคมชัดน้อยเกินไปสำหรับ ปัจจุบัน เวลามองใกล้ๆ จึงยังเกิดความแตกต่างกันอยู่ครับ

2.ซาร์ เลือกหมึกนะครับ หลายคนเข้าใจผิดว่า ใช้หมึกถูก อะไรก็ได้ หัวซาร์ พิมพ์ออกมาได้หมด ถึงมันจะ 80 pl ถ้าใช้สีดี ไม่หนืด จะยืดอายุหัวพิมพ์ ออกไปได้อีกนานครับ ในการใช้หมึกพิมพ์ ที่ราคาถูกเพื่อลดต้นทุนการผลิต ทั้งๆที่ต้องเปลี่ยนหัวบ่อยๆ ผมเคยเจอ บางร้าน 3เดือนเปลี่ยนที แต่ก็ยังใช้หมึกในเกรดต่ำอยู่  เค้าให้ความเห็นว่า คุ้ม กัน เปลี่ยนบ่อยแต่สีราคาถูก ผมยังสงสัย ว่าคุ้มอย่างไร ลูกค้าผม สามปี ยังไม่เคยเปลี่ยนหัวพิมพ์ กับสีเกรดที่ดีกว่า และสามเดือนหัวสามปี  12 หัว ก็นะ นาๆจิตตังครับ ถ้าเป็นผมๆ จะใช้สีดีคุ้มกว่า (อันนี้เป็นความเห็นของผมคนเดียวนะ ใครจะใช้ตามไม่ว่ากัน ) 

หัวพิมพ์Seiko Spt 510/35pl  ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น มีรูออกน้ำหมึก 510 รู ความละเอียด 35pl (พิโคลิตร หนึ่งหยดหมึกสี วัดเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นหน่วยวัด คือ พิโคลิตร ยิ่งตัวเลขน้อย ความละเอียดของหยดหมึกสีจะมาก เทียบกับปากกา 0.1 ตัวเลขน้อยจะละเอียดกว่า 0.5 เป็นต้น ไว้จะรวบรวมเรื่อง Picoliter มาให้อีกทีนะครับ) เป็นหัวพิมพ์ รุ่นต่อมาออกมาสักระยะ แล้วครับ แต่ช่วงแรกไม่ได้รับความนิยม ไม่ใช่อะไร ราคาแพงครับ เครื่องละหลายล้าน ขนาดของจีนนะครับต่อมาราคาลดลงเรื่อยๆทำให้ความนิยมมากขี้นเรื่อยๆ                       

             หัวพิมพ์ Seiko 510/35pl                                                               หัวพิมพ์  Spectra Skywalker

ครั้งเมื่อแรกพบเห็นเจ้าหัวพิมพ์รุ่นนี้  ถูกชะตามาก เหมือนเห็นสาวรุ่นเลยครับ ผมว่ามันสุดยอดเลยครับ ความละเอียดที่ 720 dpi ทำได้ถึง1440 dpi แต่ เมื่อครั้งงาน  Sign 2008 ผมเคยเห็น ของ บริษัท SKII (ไม่ใช่เครื่องสำอางนะครับ อันนี้บริษัทของ Seikoเค้าเลยครับ)  พิมพ์งานได้สวยมากๆ หัว 510/35 pl นี่แหละครับ สวยมากๆ  แต่ที่ทำออกมาจากจีน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขี้นงานที่ออกมาไม่ดีเท่ากับเครื่อง Original อย่าง SKII ของบริษัทแม่  

หัวSeiko ต้องใช้สีละเอียดค่อนข้างเลือกสีครับ  เครื่องพิมพ์รุ่นนี้ พิมพ์ไม่กลบpass กันถ้าสีขาดจะหายเป็นทางยาว ถ้ากดหยุดไม่ทัน งานจะเสีย จึงมีคนบอกว่า Seiko สีขาด จริงๆคือสีลงไม่ทันครับ ต้องคอยคอยเฝ้างานตลอด แต่วิธีแก้ก็แค่หยุดแล้วไล่สีเช็ดหัวพิมพ์ แล้วพิมพ์ต่อ ในประเทศจีนเครื่องรุ่นนี้ กลับหมดความนิยมลงอย่างรวดเร็ว และผู้ผลิตที่ผลิตหัวSeikoกลับหันไปผลิตหัวพิมพ์Spectra แทน มีปัญหาน้อยกว่า คือหมึกไม่ขาด และพิมพ์เร็วกว่า  ส่วนเจ้า Spectra  ขอกล่าวแค่นิดเดียวว่า ในประเทศไทยไม่ได้รับความนิยมเพราะความละเอียดน้อยมาก เต็มที่ 1200 Dpi เท่านั้นไม่ถึง1440 Dpi ครับ กลับมาที่ Seiko  กล่าวถึงข้อดีข้อเสีย ว่ากันตามเนื้อผ้า นะครับ

 ข้อดี 

1. หัวพิมพ์ใหญ่ พิมพ์งานได้แถบใหญ่มากครับ  เมื่อเทียบกับซาร์ และโคนิก้า เหมือนเอาแปลง 1 นิ้ว(ซาร์) ไปแข่งทาสีกับ แปลง 6นิ้ว (Seiko) ซึ่งหัว Seiko รหัสคือ 510/35pl มาจาก รูสีออกที่มีอยู่510 รู มาเรียงเป็นหน้ากระดานเลยทำให้เวลาพิมพ์ของแต่ละครั้งได้กว้างมากหน้าพิมพ์3นิ้วหัวพิมพ์ ใหญ่4นิ้ว 

2. หัวพิมพ์และเครื่องราคาถูกกว่า(เมื่อเทียบกับ konica) ทางผู้ขาย เอง เคยเห็นที่ งาน Sign สักเมื่อปี 2008 ขายกันแค่ 390000 แต่บางร้าน ก็ฟันกันไปที่ 6-7แสนบาทก็มี อันนี้ แล้วแต่บุญแต่กรรมครับ ถ้าใจเร็วด่วนได้ ก็ได้ของแพงนิดนึง ศึกษาหาข้อมูลก็ ได้ของถูกลงมา อันนี้ ไม่ขอแจกแจงยี่ห้อนะครับ

3. งานพิมพ์ สวยงาม ดูดีกว่าซาร์เยอะครับ

 ข้อเสีย

1 .ปัญหาสีขาด :ด้วยลักษณะเด่นของมัน  ที่เห็นเรียงกันแค่เส้นเดียว(510รู) ประกอบกับ ท่อส่งสี เล็กมาก ยังมีการส่งผ่านหมึกเป็นทอดๆ คือจากท่อสีลงมา ที่ตัวจ่ายหมึกจะเรียกว่าดั๊มเปอร์ดีไหมเพราะคล้ายกับ หัว Epson ตรนี้จะตันบ่อย (พลาสติกสีดำ) บางรายต่อตรงตัดตัวนี้ออกไปเลยครับ  และส่งผ่านลงหัวพิมพ์อีกที ด้วยท่อขนาดเดิม ที่เล็กมาก ทำให้แรงดันในหัวพิมพ์ไม่สามารถกระจายหมึกออกได้ทัน ยิ่งถ้าใช้สีหนืด กว่า Sk4 ด้วยแล้ว สีออกไม่ทันก็ขาดครับ อาการสีขาด บางคนบอก เครื่อง Seiko พิมพ์ เป็นเส้นๆ จริงๆ ไอ้เส้นที่เห็นคือ สีไวนิลขาว ที่หมึกพ่นไม่ออกนั่นแหละครับ จึงต้องมีการเข้ากะ เฝ้างานพิมพ์กัน กินข้าวปลาก็ต้องตั้งสำรับกันหน้าเครื่อง ดูมันวิ่งครับ อันนี้ เรื่องจริง เดี๋ยวจะหาว่าเวอร์ แต่ลูกค้าที่ผมเจอ เค้าต้องกินข้าวหน้าเครื่องจริงๆ เพราะถ้างาน ด่วน พิมพ์ แล้วสีขาดงานเสียพิมพ์ใหม่อย่างเดียว เกิดพิมพ์ไป 4-5 เมตร ไปจบเอาเมตรสุดท้าย สีขาด พิมพ์ใหม่ยกกระบิ ซวยและที่เฝ้า ก็แค่ถ้าสีขาด ก็กดหยุดให้ทัน ไล่สี ที่ขาดเช็ดหัว แล้วพิมพ์ต่อ ครับ แต่ต้องเฝ้า ก็เหลือจะทนแล้ว ครับ สีมันหอมซะที่ไหนหละครับ

2. ต้นทุนต่อตารางเมตรจะสูงหน่อย: เครื่องถูกแต่งานต้นทุนสูง เพราะ Seiko เลือกสี ต้องสีดีนิดนึง ถึงจะทำให้ วิ่ง Smooth และ ไม่ติดขัดและงานพิมพ์ ต้องพิมพ์อย่างน้อย 3 pass สียังไม่เข้มดีเลย  และถ้าต้องการแบบสวยหน่อยก็ต้องว่ากันที่  4-6 pass กันเลย แต่ถ้าเอามาพิมพ์แค่ 2 pass แบบโคนิก้า นี่ดูไม่ได้เลยครับ สีจะจืดเลย  ไอ้ที่ต้นทุนเพิ่มเพราะต้องคอยไล่สีออกทิ้งเวลามันขาด ตามที่กล่าวข้อ 1 วิ่งเร็วไม่ได้อีก ส่วนหัวพิมพ์ ทนพอได้ ประมาณ 1-3 ปีครับ แล้วแต่ใช้ ว่าจะใช้สีอะไร พิมพ์

3. หัวพิมพ์ เสียง่าย : ข้อนี้อยู่ที่การดูและ แต่มันจะดูแลยากตรงที่ลักษณะของหัวพิมพ์มันเอง คือแผงวงจรลอยอยู่ด้านนอก เป็นแผงเปลือย ถ้าโดนสี โซลเวนท์ ตรงๆบ่อยๆ อาจทำให้แผงบวม หรือถ้าโดนขณะมีไฟผ่าน ก็จะช๊อตและ เสียได้ครับ ตรงนี้ต้องระวัง แต่ถ้าละอองสี ไม่ค่อยน่ากลัว  

 

สุดท้ายหัวพิมพ์ Konica จะมีรหัส/รุ่นดังนี้  Konica 512/14pl ,256/14pl (รหัสMN)     Konica 512/42pl ,256/42 (รหัสLN)  และน้องใหม่ 512/35pl (รหัสLNX)  หัวKonica จะมี ค่าไฟติดมาข้างกล่องเลยครับบอกว่า หัวนี้ ซายขวาต้องตั้งค่าไฟเท่าไรบ้าง แต่ก็ปรับได้อีกนะครับไม่ใช่ค่าตายตัว

 

หัวชนิดนี้จะสามารถพิมพ์ได้ต่ำสุดที่1pass แต่ซีด จึงควรพิมพ์ที่ 2 pass ซึ่งการพิมพ์ 2 pass สามารทำงานออกมาได้เท่ากับ4pass ของเครื่องSeikoและXaarเป็นหัวพิมพ์ที่ ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากหัวพิมพ์รุ่นนี้ออกมาหลังสุด ก็ได้เอาข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่นมาพัฒนา คือเอาเรื่องของการกลบpassของหัวซาร์มา คือดูที่ ด้านใต้ของหัวพิมพ์ ถ้าสังเกตุ จะเห็นหัวพิมพ์ Konica มี 2ร่อง ในหัวเดียว ถ้ารหัสหัว 512 หัวใหญ่ก็จะแยกเป็นสองร่องๆละ 256รู หมึกสีออก

โดยการพิมพ์ของมันจะสลับซ้ายขวา ลองนึกตามผมนะครับ ในขณะที่พิมพ์ไปจะมีการพ่นหมึกสลับกันไปมา เริ่มจากหัวพิมพ์ วิ่งไปทางขวาร่องขวาพิมพ์วิ่งไปจนสุดทาง พอวิ่งกลับมาทางซ้าย  ร่องซ้ายพิมพ์กลบงาน ทำให้เกิดการ กลบpass กัน มันจะพิมพ์สลับกันไปมา งานไม่เสียถึงแม้ว่าสีจะขาด  และในขณะที่หัวพิมพ์วิ่งไปมา สลับกัน หมึกจะถูกเติมเต็มตลอดเวลา เช่น ที่บอกว่าหัวพิมพ์วิ่งไปทางขวาวิ่งไปจนสุดทางอันนี้ หมึกร่องขวาจะขาดอยู่ แต่มันไม่ได้พิมพ์เลย มันถูกเติมสีเต็มรอการพิมพ์อีกรอบ ในขณะที่ร่องซ้ายวิ่งพิมพ์ไป จนร่องซ้ายวิ่งพมพ์จบ นั่นคือสีร่องขวาเต็มแล้วครับ  ดังนั้น  หมึกก็จะไม่ขาดครับ 

ลักษณะของหัวพิมพ์ เดิมSeiko หัวใหญ่ๆ มันขาดเพราะใหญ่เกินไป ดังนั้นหัวที่ใหญ่ก็ถูกย่อให้เล็กลง และเพิ่มท่อขนาดใหญ่ด้านห้าหัวพิมพ์ถึง 2ท่อ(ใส่สลับกันได้) ท่อนึงสีเข้าอีกท่อนึงเป็นท่อสำรองหมึกกันหมีกขาด และรักษาสมดุลย์สี พร้อมกับเอาไว้ล้างหัวพิมพ์ได้ในตัวโดยไม่ต้องถอดหัวออกจากช่องใส่ แต่ท่อที่สองนี้ควรรักษาหมึกให้เต็มไว้ตลอดนะครับ ถ้ามันพร่องตอนเปิดเครื่องควรเติมให้เต็มนะครับ

  หัวพิมพ์โคนิก้ามีสามรุ่นคือ ที่ 14pl , 42 plและ 35plซึ่งหัว 14plความละเอียดสูงก็จริง แต่ต้นทุนการผลิตก็สูงตาม เพราะต้องไล่สีทิ้งบ่อย หัวละเอียดก็จะต้องดูแลรักษาให้ดีกันนิดนึง แต่ถ้าใช้หมึก ได้เกรด เช่นหมึก TOYO (KMS) ก็จะทำให้ หัวพิมพ์ อายุยืนนานขึ้นครับ

 รุ่น 42pl กลับมีต้นทุนการผลิตที่ถูกมากเพราะพิมพ์ แต่ความนิยมน้อยกว่าเพราะความเหมาะสมสำหรับเลือกเครื่องไปใช้กับงานพิมพ์ เช่น เลือก 14plไปใช้งานที่ต้นทุนต่ำ เช่นขายตารางเมตรละ 60 บาท ก็จะสู้ไม่ไหวเพราะต้นทุนอาจสูงถึงตารางเมตรละ50 บาท (ไวนิลพร้อมสีต่อตารางเมตรและต้องฟลัชหมึกทิ้งอีก) แต่กลับกันหัว 512/42pl กลับทำต้นทุนได้ต่ำกว่า และพิมพ์แค่ 2pass สุดยอดแห่งความประหยัดครับ (คิดจริงๆจะอยู่ที่ 3-4บาทต่อตารางเมตรครับจากคิดจากต้นทุนสีที่ แกลลอน 2500-3250 เลยนะ) ข้อดี1.พิมพ์กลบ passกันเพราะมีร่องพิมพ์2ร่องทำให้พิมพ์เร็ว และสีละเอียดถึงแม้จะมีความละเอียดที่42pl แต่พิมพ์งานละเอียดได้(ตัวหนังสือ 1มิลพิมพ์ได้)2.รูน้ำหมึกเข้าของหัวkonica มีท่อเข้าถึง 2ท่อ และท่อก็ใหญ่กว่า seiko จึงทำให้พิมพ์เร็ว ( HI SPEED ) ได้โดยสียังสามารถส่งทัน และสีไม่หาย 3.ตัวหัวจะปิดด้วยแผ่นพลาสสติ๊กมิดชิดแม้จะแช่หัวนานแค่ไหนก็ไม่ทำให้หัว เสีย ทำให้อายุการใช้งานยาวนาน ที่เมืองจีนมีแจ้งว่าอยู่ถึง 5ปีแล้วยังไม่เปลี่ยนหัวครับ    ข้อเสีย คงจะเป็นเรื่อง ราคาอาจสูงกว่า เครื่องพิมพ์หัวพิมพ์อื่นๆ อยู่พอสมควรครับ  

รุ่น 35pl หัวรุ่นนี้ออกมาไม่กี่เดือน เครื่องรุ่นนี้ มีดีตรง เร็ว สวย ถ้าถามคุณภาพ เทียบกับ เครื่อง Konica 512/42 แล้ว ความคมชัดไม่แตกต่าง ถึงแม้ จะมีความละเอียดของ pl น้อยกว่า ก้อตาม แต่ มันถูกสรรสร้างมาเพื่อความเร็ว แรงจริงๆครับ เกิดมาก็ มี speed ติดตัวที่ 53-58 ตรม./ชั่วโมงแล้ว(ที่ 4หัวพิมพ์ เป็นความละเอียดต่ำสุด นะครับ ที่180x720 Bidirection  high speed mode 2pass)

           

ภาพแรก ขณะพิมพ์    ภาพที่สอง เป็นการแสดงผลรวม ตอนพิมพ์เสร็จ

ดูลิงค์ Video ที่นี่ครับ http://www.youtube.com/watch?v=pQSwR_q2K_4&feature=player_embedded

เครื่องพิมพ์  Konica 512/35pl นี้ มีการพัฒนาบอร์ด และ มอเตอร์ เกียร์ ขึ้นมาใหม่ ให้สัมพันธ์กัน ในความเร็ว และ อัตราการพ่นหมึก ในขณะพิมพ์ ได้ยอดเยี่ยมมาก ครับ เรียกว่า ชัดและเร็ว หายากจริงๆ อย่างอื่น จะไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่นเดิมมากนัก แต่ก็ได้ตรงใหม่สด ราคาสูง แต่ก็ส่งผลให้ เครื่อง 42pl มือสอง ราคาร่วงลงมา พาลพา xaar และ Seiko ลงเหวเลย ตอนนี้ เพราะ คนที่ใช้ Konica 42pl เมื่อ 3 ปีที่แล้ว อยากจะเปลี่ยนเครื่อง จึงจะเริ่มเห็นเครื่อง 42pl มือสอง ออกมาขายบ้าง ครับ

นี่ก็รีวิว รอบสองครับ ถ้าส่งสัย หรือผมอธิบายไม่ดีพาดพิงใครทำใครไม่ถูกใจ ผมน้อมรับไว้ครับ เนื่องจากเป็นการนำเสนอ แบบ ลูกทุ่งนิดนึงนะครับ บางเรื่อง อธิบายไม่ละเอียด สอบถามเพิ่มเติมได้ครับ จะให้เร็วก็ ทาง โทรศัพท์ได้เลยครับ แต่จะถามทางนี้ก็ได้ครับ ขอบคุณที่ให้ความสนใจอ่านบทความผมครับ

อ่านแล้วรู้สึกดี เครดิต ผม จตุพล ลำเพ็ญ นิดนึง ถ้าไม่ชอบผ่านได้เลยครับ  ^^ รวยๆกับธุรกิจ อิงค์เจ็ทของท่านทุกคนครับ

----------------------------------------------------------------------
 

ข้อมูลจาก
 

http://www.2bejet.com/

----------------------------------------------------------------------



อิงค์เจ็ท ไวนิล ผ้าไวนิล หมึกอิงค์เจ็ท หมึก ไซโกะ สติ๊กเกอร์พิมพ์ วัสดุ อุปกรณ์ ป้าย ราคาถูก seiko ถูก หมึก พิมพ์ ไซโกะ seiko ถูก หมึก หัวพิมพ์ ไซโกะ seiko ถูก  You are visitor no. 4,706,212  จำนวนผู้เยี่ยมชม : 6
E-commerce Solutions by BangkokDomain.com   ®